ต่อไปนี้ คือบันทึกชีวิตภาคไสย์ไสย์ของผู้พยากรณ์ ที่เรียบเรียงเอาไว้ เผื่อใครอยากรู้จักกันอีกนิด และจะได้ทราบที่ไปที่มา ของการทำพิธีกรรมต่างๆ ค่ะ)
.
.
0 ✔︎ มีอีกสิ่งที่อยากบันทึกเพิ่มเติมไว้ เกี่ยวกับเรื่องของดวงชะตา และ ชีวิตในภาคโหราศาสตร์-ไสยศาสตร์ ด้วยความที่อยู่ในครอบครัวซึ่งทำงานด้านนี้มาโดยตลอด และตัวเองเป็นคนที่อยู่กับเรื่องดังกล่าว แต่มีความละเอียดอ่อนในการจะพูด จะเขียน มันมีเส้นแบ่งระหว่างการยกตัวเอง กับการยืนยันชุดประสบการณ์ และการสื่อสารต่อผู้คนในเรื่องเหล่านี้
1 ✔︎ โดยพื้นฐานของดวงชะตา ตัวข้าพเจ้านี้มีดวงชะตาที่แปลกประหลาดอยู่มาก คือชีวิตจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ
กล่าวคือ ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 16 ปี จะเป็นระยะที่ดาวเสาร์เข้ามีอิทธิพลต่อชีวิต
เสาร์คืองานหนัก งานกรรมกร ชีวิตภาคแรงงาน การศึกษาในระดับประถม
และในดวงเกิดส่วนดวงชั้นนอก (ราศีจักร) ถ้าดูแบบทั่วไปเสาร์เป็น นิจ คืออับแสง แต่ทราบไหมว่า แม้ในโหราศาสตร์เองก็มีข้อยกเว้น
โบราณกล่าวว่า เสาร์เป็นดาวนิจในราศีเมษ แต่เสาร์จะไม่เป็นนิจเมื่ออยู่ระหว่าง 20 องศา 1 ลิปดา – 23 องศา 20 ลิปดา ในจุดนี้แม้เสาร์เป็นนิจก็จะกลับระงับโทษทุกข์ได้หมดสิ้นและให้ผลดีเช่นเดียวอุจจ์
ซึ่งเสาร์ของข้าพเจ้านั้นอยู่ในระหว่างเกณฑ์พอดิบพอดี คือที่ 22 องศา 55 ลิปดา และชั้นใน (นวางค์จักร) เสาร์ของข้าพเจ้าเป็นมหาอุจจ์
2 ✔︎ ในอีก 2 ช่วงของชีวิต ในระยะที่สองนั้น จะอยู่ในช่วงเวลา 16 ปี – 49 ปี ซึ่งชีวิตจะต้องได้อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ มากมาย และช่วงที่ 3 ของชีวิต จะเริ่มต้นตั้งแต่ 21 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ชีวิตจะเข้าสู่ช่วงใกล้ได้เก็บเกี่ยวดอกผลและบรรลุยังสิ่งที่มุ่งหวัง…
3 ✔︎- สำหรับนักโหราศาสตร์ การจะดูดวงให้ถ่องแท้ได้ก็ต้องเริ่มในการดูดวงตัวเองให้แตกฉานเสียก่อน และที่สำคัญมาก คือการพิจารณาดวงตัวเองด้วยใจเป็นกลาง อย่างปราศจากอคติทั้งลบและบวก
ทั้งเพื่อป้องกันกันหลงตัวเอง การยกตัวเอง หรือลุ่มหลงไปว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ และการวิปริตจิตตก ฯลฯ
ดังนั้น ชีวิตของข้าพเจ้า นอกจากจะดูดวงตัวเองจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็จะเฝ้าสังเกตตัวเองนี่แหละ เพราะถึงที่สุด เราจะรู้ได้ว่าอะไรใช่ไม่ใช่ จะไม่มีใครรู้จักตัวเราเท่ากับตัวเรา ในทุกความลับของชีวิตเราก็มีแต่ตัวเราที่รู้
นอกจากนั้นข้าพเจ้าก็ยังลองให้โหรชั้นผู้ใหญ่ที่นับถือเป็นการส่วนตัวช่วยเช็คดวงให้ ผู้หนึ่งที่เปิดเผยได้เพราะท่านเสียไปแล้ว คือ คุณยอดธง ทับทิวไม้
ซึ่งโหรที่ได้เช็คดวงทั้งหมดได้บอกในประเด็นตรงกัน เหมือนกัน ใจความสำคัญคือ ชีวิตข้าพเจ้าจะไม่มีวันตกต่ำลงจากเดิมในทุกช่วงปีของชีวิต
4 ✔︎ มาคิดดู ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ชีวิตข้าพเจ้านั้นไม่ได้เป็นเส้นทางเดินราบเรียบ แต่มีจังหวะคลื่นสั่นไหวขึ้นลง อย่างไรก็ตาม กราฟชีวิตของข้าพเจ้าพุ่งขึ้นขึ้นเรื่อยๆ และสูงขึ้นเรื่อยๆ เสมอมา
ชีวิตข้าพเจ้านั้น หากจะถือเอาว่าเป็นไปตามดวงชะตา ก็คือดวงชะตาที่มีแต่จะขยับพาตัวเองไปสู่จุดที่ดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีต้นทุนชีวิตต่ำต้อยเพียงไร และถ้าใครติดตามกันจะรู้ว่า ข้าพเจ้าเริ่มต้นชีวิตอย่างไร
5 ✔︎ ในพื้นดวงชะตา ยังมีความแปลกประหลาดอีกหลายอย่าง เช่นว่า ดวงข้าพเจ้า ได้องค์เกณฑ์ทุกสิ่งที่ปรากฏในตำราโบราณ และ ดาวทุกดวงที่เสียชั้นนอกกลับดีขึ้นหมดในชั้นใน ดาวที่ดีแล้ว ณ ชั้นนอก ก็คงสถานะสูงทั้งสิ้นในนวางค์จักร
โหรคนหนึ่งบอกว่า การจะหาดาวดีทั้งสิ้นทุกดวงชะตาเป็นเรื่องยาก แต่พบได้ในดวงนี้เอง (ข้าพเจ้าเคยเพียงแต่รับฟังไว้ ไม่ได้เชื่อทันที)
6 ✔︎ ในพื้นดวงชะตา ยังมีเรื่องแปลกประหลาดอีกสิ่ง และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องเฝ้าระวัง ครูโหรก็ย้ำเตือนไว้
คือดวงนี้จะมีชัยเหนือศัตรูอยู่เสมอ ใครตั้งตัวเป็นศัตรูจะประสบอันตรายหายนะ เรื่องนี้ละเอียดอ่อนตรงที่บางครั้ง แม้จะเป็นเพียงความคิดชั่วแว่บ เช่น มีคนหงุดหงิดเราแล้วเผลอด่าเราในใจ บางคนก็ประสบปัญหาชีวิตเข้ามาก มีถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ เสียนิ้ว แขนหักขาหัก บ้างลำบากจนแทบอนาถา บ้างเสียชีวิตไป ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดความยินดี แต่ทำให้มีความสะทกสะท้อนใจมากกว่า และสิ่งเหล่านี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะล้อเล่นกับมัน หรือการจะเอามาพูดมาบอก
และจึงเป็นจุดที่เมื่อตระหนักชัดว่ามันมีเรื่องเร้นลับเหล่านี้จริงๆ ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นคนที่ไม่มีความโกรธไปจนเป็นเรื่องปกติ และหากมีอะไรขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ ก็จะคลี่คลายสลายไปเองเหมือนเมฆหมอกที่ลมพัดพา
7 ✔︎ ในพื้นดวงชะตา ข้าพเจ้ายังจะเป็นคนที่ใช้โหราศาสตร์และ ไสยศาสตร์ ได้ดี และมีดวงตาที่สามอันแปลกประหลาด
เขียนมาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกอีกว่า มันละเอียดอ่อนอยู่อีกไม่น้อยที่จะกล่าวอย่างนี้ แต่เอาเป็นว่า อาจจะมีบางคนที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้วจริงๆ ว่าข้าพเจ้า ‘ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น’ อย่างไร
และเรื่องนี้ อาจจะสืบทอดโดยเหตุใดไม่ทราบได้ เพราะในครอบครัว ข้าพเจ้า พ่อ แม่ ปู่ ตา ยาย มีทักษะแบบเดียวกัน ส่วนพี่ๆ บางคนนั้นมีทักษะบ้าง แต่บางคนก็ไม่มีเลย สำหรับน้องนั้นมีทักษะแต่น้องไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับมัน
8 ✔︎ ข้าพเจ้ารักงานโหราศาสตร์มาก พูดได้จริงๆ ว่ารัก และชอบชีวิตภาคไสย์ไสย์อยู่มาก เพราะมันอาจจะเป็นเลเยอร์ที่ซ้อนทับอยู่
ในอีกทางหนึ่ง อาจเพราะรู้สึกว่าคนชอบดูถูกดูหมิ่นวิชาเหล่านี้ เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระบ้าง งมงายบ้าง แต่หากพิจารณาให้ดี พระเจ้ากับผีไม่ได้มีความต่างกัน พระพุทธพระธรรมอันสูงส่งก็หาจับต้องได้ไม่ ความงมงายเป็นของมีจริงแต่การเข้าถึงโลกอีกมิติก็มีอยู่จริง
อีกทั้งศาสตร์ทางเลือกเหล่านี้ ในบางเวลาเป็นสิ่งที่ถูกเบียดยังให้ออกไปเป็นเรื่องชายขอบ ไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งที่โดยใจความ เมื่อนักบวชสวดพุทธมนต #กับนักไสยศาสตร์ร่ายเวทย์ คือสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ทั้งคู่
แต่ถามกันให้ถึงที่สุด เหตุใดศาสนจักรและพระวิหารจึงสูงส่งกว่าผี และคิดให้ดี เหตุใดในพระราชพิธีของผู้สูงส่ง จึงเต็มไปด้วยสัตว์ป่าหิมพานต์ เหตุใดการสลักเสลาเครื่องประดับวิจิตรและพิธีกรรมราชพิธี จึงมีค่าและถูกยกย่องมากกว่าการขูดต้นไม้ขอหวยของชาวบ้าน
9 ✔︎ อีกสิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบ ชีวิตมนุษย์เรานี้ มีเส้นทางของตนเอง ดวงชะตาและพรหมลิขิตเป็นของมีจริง
ดังเคยยกตัวอย่างไว้ ยามเกิด เราท่านไม่อาจเลือกเกิดได้ การไปเกิดในท้องใคร ได้พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์แบบไหน ได้รหัสพันธุกรรม DNA แบบใดมา ได้ต้นแบบเซลล์ยังไง ได้วงศาคณาญาติอย่างนั้นอย่างนี้ ตกเป็นคนเชื้อชาติสัญชาตินั่นนี่ ฯลฯ เหล่านี้คือดวงชะตาเบื้องต้น
เราทุกคนย่อมตกอยู่ในอิทธิพลของสิ่งที่เป็นปัจจัยในชีวิตเบื้องต้น อย่างไรก็ดี มนุษย์มีเจตจำนงเสรี และสิ่งที่สำคัญสุดคือการขับเคลื่อนชีวิตตนเอง ใต้ปัจจัยอื่นๆ ที่ร้อยรัดกันเป็นห่วงโซ่
และจะบอกว่า #มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับการสัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ เสมอ มีคำกล่าวว่า ผีเสื้อขยับปีกที่นี่ มีแรงสะเทือนได้ถึงอีกซีกโลกหนึ่ง นั่นคือความจริงอย่างที่สุด
.
.
10 ✔︎ สำหรับชีวิตข้าพเจ้านั้น ถึงที่สุดแล้ว มีข้อเท็จจริงอีกอย่างว่า ต่อให้ข้าพเจ้าเป็นคนดวงดี โชคดี จะไม่มีวันล่มจมตกต่ำ แต่ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจจะอยู่ในเรือลำเดียวกันกับคนอื่นๆ ซึ่งมีพรหมลิขิตเส้นทางตนเอง ด้วยทักษะและงานที่ทำอยู่
ข้าพเจ้าทราบดีทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายว่าชีวิตใครจะเป็นอย่างไร และข้าพเจ้าก็คิดเพียงว่า จะทำดีที่สุด ที่จะส่งหลายๆ ชีวิตขึ้นฝั่งไป
การฝืนโชคชะตาในบางครั้ง หรือ การจะเล่นลองดีกับพรหมลิขิตก็อาจเป็นเช่นนี้ คือการที่เราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้ว่าไม่ใช่ชะตาของเราด้วยซ้ำไป
.
.
11 ✔︎ ข้าพเจ้ามีความเชื่ออยู่อย่างว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดมาใช้กรรม แต่เราเกิดมาเพื่อทำให้ทุกสิ่งดีขึ้นกว่าเก่า
ในแต่ละภพชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ การตระหนักรู้ยังอดีตและสรุปบทเรียนหนหลัง จะทำให้เราข้ามฝั่งไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวาระที่เป็นหนึ่งเดียวกับเม็ดทราย ณ อสงไขย
และปราศจากตัวตนสำนึกใดๆ เป็นส่วนหนึ่งของความว่างอนันต์
12 ✔︎ ดังนั้น ในแต่ละภพชาติที่เราอยู่ แต่ละชั้นของเลเยอร์มิติ การที่มนุษย์จะช่วยกันให้ข้ามฝั่งของแต่ละคนไปได้ทีละด่าน คือสิ่งที่อาจเป็นภารกิจที่แท้
แค่ทำให้ชีวิตตัวเองกับกันและกันพากันดีขึ้นเรื่อยๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่าที่พึงมีพึงได้ มีความสุขกับชีวิตในแบบฉบับ เมื่อหมดลมหายใจในภพชาติหนึ่ง ก็จะเริ่มต้นได้ใหม่ในจุดที่ดีกว่าเดิม
13 ✔︎ ข้าพเจ้าออกจากหมู่บ้านเกิดไปครั้งแรก เมื่ออายุราวๆ 12 ปี และได้หวนกลับมาทำ สิริเมืองพร้าว ในวาระที่เหมาะสม หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า ข้าพเจ้ากลับมาทำตามเจตจำนงดั้งเดิมที่มากกว่าช่วงอายุที่เกิดมาด้วยซ้ำ
ข้าพเจ้ากลับมาทำตามพันธะสัญญา ซึ่งหลอมรวมกันมาเป็นเจตจำนง ข้าพเจ้ามีภาระจะต้องส่งผู้คนจำนวนหนึ่งให้ถึงฝั่ง และเพื่อให้พวกเขาส่งต่อความหวัง ความรัก ความศรัทธา ต่อการมีชีวิตต่อๆ ไปเบื้องหน้าของผู้คนอีกชุดจำนวนต่อๆ ไป
มันคือเครือข่ายของการเดินหน้า ในกงล้อของเวลา และแน่นอนว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เคยกลับมาเพียงครั้งเดียว เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟัง
14 ✔︎ เพิ่มเติมอีกนิด แต่ชีวิตมนุษย์ทุกคน จะมีจุดบอดหรือจุดตายของตนเอง ข้าพเจ้าก็มีเหมือนกัน และรู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะบอกใคร ข้าพเจ้ารู้ด้วยซ้ำไปว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะป่วยบ้าง และรู้ล่วงหน้าจนถึงวันตาย
แต่ก็นั่นเอง ความตายคือเรื่องปกติธรรมดา ยามลาจากสังขารกายเนื้อไป เรายังมีการกลับมาใหม่เสมอมา ข้าพเจ้าจึงเป็นคนไม่กลัวความตาย ไม่กลัวเลือด ไม่กลัวบาดแผล และทนความเจ็บปวดได้มากกว่าปกติ เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดา
และถ้าใครสังเกตให้ดี ข้าพเจ้าสามารถมีใบหน้าได้หลายแบบด้วยนะ